วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Helminth

พยาธิตัวจี๊ด (Gnathostoma spinigerum)

            โรค Gnathostomiasis (หรือเรียกว่า Yangtze edema หรือ choko-fushu ในภาษาญี่ปุ่น, หรือไทยเรียกว่า โรคพยาธิตัวจี๊ด) เกิดจากตัวอ่อนของพยาธิตัวกลม มีชื่อว่า Gnathostoma spp. เป็นโรคที่จัดอยู่ในพวก "cutaneous larva migrans" ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะพยาธิตัวจี๊ดชนิด Gnathostoma spinigerum เท่านั้น ทั้งนี้เพราะพยาธิ์ตัวจี๊ดชนิดนี้เป็นตัวก่อโรคที่สำคัญในคนบริเวณแถบเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งจะอาศัยอยู่ในกระเพาะของสุนัข และแมว



           ลักษณะพยาธิตัวจี๊ดโดยทั่วไป
             ตัวเต็มวัย (adult) ลำตัวจะกลมยาวเรียวจากหัวไปหาง ลำตัวใส่วนหัวแยกจากส่วนลำตัวโดย มีคอคอด หัวค่อนข้างกลม มีริมฝีปาก 1 คู่ มีขอเล็กๆ (hook or hooklets) ล้อมรอบส่วนหัว 8 แถว ภายในมีถุง 4 ถุง (ballonets) แต่ละถุงมีช่องต่อกับลำตัวข้างหลอดอาหาร ปลายถุงต้นลำตัวเป็นผนังหนา (cuticle) มีรอยย่นตลอดลำตัวมีหนามปกคลุม โดยเฉพาะส่วนต้นของลำตัวจะหนาแน่นกว่า ส่วนอื่น ตัวผู้มีขนาดประมาณ 11 - 25 มิลลิเมตร กว้าง 1 - 1.5 มิลลิเมตร ปลายหางจะแผ่กว้างออกมีขอ (spicule) 2 อัน โผล่ให้เห็นที่ช่องขับถ่าย (Cloaca) ตัว เมียมีขนาดยาวประมาณ 25 - 54 มิลลิเมตร กว้าง 1 - 2 มิลลิเมตร จะมีหางเรียวเล็กกว่าตัวผู้ มีช่องเปิดระบบสืบพันธุ์ (vulva) มีรูเปิดช่องคลอด (vagina) 1 ช่อง ต่อจากช่องคลอดเป็นมดลูก (uterus) แยกเป็น 2 ท่อและมีไข่เต็มมดลูก

ภาพประกอบ 1 ตัวเต็มวัยพยาธิตัวจี๊ด

            ลักษณะไข่ (egg)   หัวท้ายจะมนเกือบเท่ากันมีจุกเมือก (mucoid plug) อยู่ทีปลายข้างหนึ่ง เปลือกไข่บางสีน้ำตาล มีขนาดประมาณ 42 x 79 ไมครอน

ภาพประกอบ 2 ไข่พยาธิตัวจี๊ด

ลักษณะตัวอ่อนระยะที่หนึ่ง (first stage larva) รูปร่างจะเรียกยาวจากหัวไปท้าย ที่หัวมีหนามสั้นๆ 1 แถว มีปลอกหุ้มรอบ ตัวขนาดประมาณ 15.8 x 265.3 ไมครอน

ภาพประกอบ 3 ระยะที่หนึ่งพยาธิตัวจี๊ด

            ตัวอ่อนระยะที่สอง (second stage larva) ตัวอ่อนระยะนี้ ไม่มีปลอกหุ้ม มีริมฝีปาก 1 คู่ ขนาดเท่ากัน บริเวณหัวมีหนาม 4 แถว มีหลอดอาหารและลำไส้ มีรอยย่นของนามที่ลำตัวชัดปลายหางมนมีขนาดประมาณ 61.6 x 372.5 ไมครอน

ภาพประกอบ 4 ระยะที่สองพยาธิตัวจี๊ด

            ตัวอ่อนระยะที่สาม (third stage larva) เป็นระยะติดต่อมีลักษณะคล้ายตัวเต็มวัย แต่ขนาดเล็กกว่า ลักษณะหนามไม่ชัดเจน ความยาวประมาณ 4.5 - 6.31 มิลลิเมตร ส่วนใหญ่จะขดตัวอยู่ในซีส (cyst) ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 - 2 มิลลิเมตร

ภาพประกอบ 5 ตัวอ่อนระยะที่สามขดตัวอยู่ในซีสต์
  

                วงจรชีวิต (Life cycle )



            ปกติตัวแก่ของพยาธิชนิดนี้อาศัยอยู่ในกระเพาะของสัตว์ที่เป็น definite host ได้แก่สัตว์จำพวกแมว เสือชนิดต่างๆ และสุนัข ภายหลังการผสมพันธุ์ ตัวแก่เพศเมียจะปล่อยไข่จากผนังกระเพาะออกมาปะปนกับอุจจาระ เมื่อไข่อยู่ในน้ำระยะหนึ่ง ตัวอ่อน(larvae)ระยะแรกจะฟักออกจากไข่และเข้าสู่กุ้งไร(cyclop)เพื่อเป็นตัวอ่อนระยะที่สอง จากนั้นกุ้งไรจะถูกกินโดย ปลา กบ งู หรือนก เป็นต้น ตัวอ่อนระยะที่สองจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่สามเข้าไปฝังอยู่(encyst)ตามกล้ามเนื้อของสัตว์เหล่านี้ สัตว์ที่ติดเชื้อตัวอ่อนระยะที่สามจะถูก definite hostกินอีกต่อหนึ่ง เพื่อให้ตัวอ่อนเจริญเป็นตัวแก่ต่อไปครบวงจรชีวิต คนไม่ใช่ definite host ดังนั้นในคนจึงพบเพียงตัวอ่อนระยะที่สาม (advanced third stage larvae) แต่อย่างไรก็ตามมีรายงานพบตัวแก่ในอวัยวะคนได้ แต่ไม่บ่อยนัก

            ตัวเต็มวัย อาศัยอยู่ที่ก้อนทูม (tumour) ในกระเพาะอาหารของสัตว์กินเนื้อ (carnivore) เช่นแมว สุนัข ฯลฯ ซึ่งเป็นผู้ให้อาศัยโดยแท้จริง (definitive host) เมื่อพยาธิตัวจี๊ดผสมพันธุ์ภายในก้อนทูมตัวเมียจะออกไข่และปล่อยออกทางรูติดต่อของ ก้อนทูมไปตามลำไส้ของสัตว์กินเนื้อออกมาพร้อม กับอุจจาระ จากนั้นไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนระยะที่หนึ่งภายใน 7 วัน ที่อุณหภูมิประมาณ 27 0C


ภาพประกอบ 6 ก้อนทูมที่บริเวณผนังกระเพาะของแมว ภายใต้มีพยาธิตัวจี๊ด

                พยาธิสภาพ พบว่าผิวหนังบริเวณที่ตัวอ่อนชอนไช มีลักษณะบวมน้ำ พบจุดเลือดออกเป็นหย่อม เซลล์อักเสบประกอบด้วย eosinophils, lymphocytes, plasma cells เป็นส่วนใหญ่ มี neutrophils บ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบเศษเนื้อตายพร้อมกับ fibrosis ในบริเวณดังกล่าว มากน้อยขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาที่ตรวจพบ พยาธิสภาพที่พบในทางเดินอาหาร เป็นลักษณะการอักเสบแบบ granulomatous ที่บริเวณร่องทางเดินของพยาธิ พร้อมกับเซลล์อักเสบชนิด eosinophil เป็นจำนวนมากในบริเวณที่อักเสบ นอกจากนั้นยังพบการอักเสบของหลอดเลือดแดง (endarteritis) และต่อมน้ำเหลืองของเนื้อเยื่อเพิ่มจำนวนมากขึ้น บางครั้งไม่พบพยาธิตัวจี๊ด พยาธิแพทย์มักให้การวินิจฉัยว่าเป็น eosinophilic gastritis หรือ eosinophilic enterocolitis เป็นต้น
            ส่วนที่สมองและไขสันหลังพบจุดเลือดออกและเศษเนื้อตายพร้อมเซลล์อักเสบทั่วไปเป็นร่องทางเดินในไชสันหลังโดยเฉพาะบริเวณทางออกของรากประสาท จากส่วนล่างของไขสันหลังขึ้นไปถึงสมอง สมองบวมและแดง ภายในเนื้อสมองพบการตกเลือดในชั้น subarachnoid และ ventricles พร้อมกับเนื้อสมองตายเป็นหย่อมมีเซลล์อักเสบกระจากไปทั่ว เยื่อบุสมองหนาพร้อมเซลล์อักเสบโดยเฉพาะชนิดeosinophils รอบๆหลอดเลือดมีการบวมพร้อมพบเซลล์อักเสบชนิด lymphocytes, plasma, และ eosinophils และพบมีการทำลายเซลล์ประสาทและปลอกหุ้มใยประสาท  ส่วนมากพบตัวอ่อนหรือตัวแก่เพศผู้หรือเพศเมียในชิ้นเนื้อที่ตัดส่งพิสูจน์ โดยทั่วไปตัวอ่อนมักไม่ค่อยเคลื่อนที่ไปยังอวัยวะดังกล่าวบ่อยนัก มักอยู่ตามบริเวณใต้ผิวหนังเป็นส่วนใหญ่
           
            การติดต่อ  คนติดโรคได้โดยทานปลาดิบที่มีตัวอ่อนระยะที่สามของพยาธิตัวจี๊ด สัตว์อื่นๆก็เช่นกันสามารถติดโรคนี้ได้ถ้าทานปลาที่มีตัวอ่อนชนิดนี้ เช่น ไก่ หมู หรือนก เป็นต้น เมื่อคนทานเนื้อของสัตว์ดังกล่าวแบบดิบๆสุกๆก็สามารถติดโรคนี้ได้เช่นกัน เนื่องจากคนไม่ใช่ที่อยู่ตามธรรมชาติในวงจรชีวิตของพยาธิชนิดนี้ ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในร่างกายคนได้ จึงเดินเพ่นพล่านไปตามเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆในร่างกายทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า larva migrans เมื่อเดินไปตามชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบวม เรียกว่าบวมเคลื่อนที่ (migratory swelling) ตัวอ่อนที่เคลื่อนนี้อาจมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 12 ปี
            อาการทางคลีนิค    อาการจะเกิดภายใน 24 ถึง 48 ชั่วโมงหลังจากทานปลาดิบหรือเนื้อดิบของสัตว์ที่มีตัวอ่อนอยู่ ผู้ป่วยมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียร น้ำลายไหล ใบหน้าร้อน คัน เป็นลมพิษ และมีอาการจุกเสียด แน่นหรือปวดท้อง ตรวจเลือดพบเม็ดเลือดขาวสูงโดยเฉพาะ eosinophils สูงถึงร้อยละ 90 ขณะตัวอ่อนเคลื่อนที่ไป จะทำให้เกิดอาการปวดท้องด้านขวาบนอย่างรุนแรง ภายใน 3 ถึง 4 อาทิตย์ ตัวอ่อนจะเข้าสู่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้อาการและการตรวจพบในระยะแรกหายไปหรือพบน้อยลง ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะเรื้อรัง ตัวอ่อนจะคลืบคลานไปตามผิวหนัง ทำให้เกิดอาการบวมใต้ผิวหนัง ผิวหนังบริเวณนั้นจะบวมแดง คัน หรือปวดรุนแรง อาการบวมดังกล่าวเป็นอยู่ประมาณ 10 วัน และเกิดเป็นขึ้นมาอีกใน 2 ถึง 6 อาทิตย์ ในกรณีที่พบในลำไส้ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง อาจพบก้อนโตในท้อง มีเลือดออกในทางเดินอาหารและลำไส้ หรือพบลำไส้อุดตัน ส่วนมากพบทำให้เกิดโรคที่ลำไส้ใหญ่ส่วน cecum หรือพบที่ทวารหนัก มีรายงานทำให้เกิดไส้ติ่งและช่องท้องอักเสบ ถ้าไปที่ปอดทำให้ปอดและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ กรณีไปที่ลูกตา ทำให้ตาบวมและแดง มองภาพไม่ชัด โดยมากพบตัวแก่ระยะสามใน anterior chamber หรือพบตัวแก่ทำให้เกิดแผลที่กระจกตาดำ เมื่อเคลื่อนไปที่ทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปวดท่อปัสสาวะ ปัสสาวะลำบาก ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด ส่วนมากพบตัวแก่ของพยาธิออกมากับปัสสาวะ ในกรณีเคลื่อนไปตามไขสันหลัง ทำให้มีอาการชา แขนขาอ่อนแรง และเป็นตัวการทำให้เกิด eosinophilic myeloencephalitis และ cavernous sinus thrombosis.ได้ นอกจากนี้มีรายงานการพบพยาธิตัวจี๊ดในปาก เช่น พบที่เหงือกและเยื่อบุผิวในช่องปาก และลิ้น ปลายองคชาติ และเป็นตัวการทำให้เกิดการตกเลือดในช่องคลอด

             อาการและอาการแสดง
             1.พยาธิไชผิวหนัง ตามลำตัวแขน ใบหน้า มีอาการบวมแดง เป็นรอยทางแดง 4-10 วันแล้วหายได้ เองและอาจบวมขึ้นมาใหม่ในบริเวณใกล้เคียง
             2.พยาธิไชเข้าอวัยวะต่างๆ ตา ปอด กระเพาะปัสสาวะ สมอง(อาเจียน ปวดศีรษะ คอแข็ง ปวด       เส้นประสาท)ที่ตา ทำให้หนังตาบวมปิด ไชเข้าตา ตาบอดได้

           3.เป็นก้อนคล้ายเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆ อาการมักไม่หายขาด เป็นๆหายๆ เนื่องจากตัวอ่อนมีอายุยาวและไชไปมา
           
            การวินิจฉัย
            1. ซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับการทานอาหารสุกๆ ดิบๆ อาการของโรค
            2. เจาะเลือดพบ eosinophil สูง
            3. ทดสอบทาง Immunology
            CBC: Eo สูง
            ELISA: ต่อตัวอ่อนระยะ 3
            การรักษา
            ยังไม่มียาที่ได้ผลดี แต่มียาที่ใช้แทนได้ ได้แก่ Albendazole 400 mg OD * 21 วัน ทำให้พยาธิออกมากจากผู้ป่วยได้
หรือ Thiabendazole50mg/kg/day แบ่ง bid *5 วัน
            การป้องกัน
            1. ดื่มน้ำสะอาด ไม่มีไรกุ้งปน อาหารให้กินแบบปรุงสุกทุกอย่าง
            2.ให้สุขศึกษา

            3. ระวังไม่ให้สุนัขและแมวรับประทานเนื้อดิบ




อ้างอิง
โดย ผกายดาว สุธาพรพิทักษ์ บทความจากสสวท.https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/gnat/index.html.
            สรรเพชญ เบญจวงศ์กุลชัย.พยาธิวิทยาโรคติดเชื้อปาราสิต.
            http://cai.md.chula.ac.th/chulapatho/chulapatho/lecturenote/infection/parasite/indexpara.html#taeniasis

Protozoa

Toxoplasma gondii

โรคToxoplasmosis เป็นโรคสัตว์สู่คน โดยสาเหตุเกิดจากเชื้อ Toxoplasma gondii ซึ่งเป็นเชื้อโปรโตซัวในกลุ่ม coccidia (คำว่าToxo หมายถึงโค้งหรืองอแบบคันศร) มีรูปร่างได้ 3 แบบได้แก่ trophozoite, bradyzoites (tissue cyst) และoocyst ติดต่อกันได้หลายวิธีและพบแพร่กระจายในสัตว์หลายชนิด โดยมีแมวเป็นโฮสต์จำเพาะ มี intermediate เป็นสัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง สัตว์เศรษฐกิจ เช่น นก ไก่ หนู สุนัข สุกร แพะ โค รวมทั้งมนุษย์สามารถติดโรคได้ โดยมีความสำคัญในเรื่องระบบสืบพันธ์โดยสามารถทำให้เกิดการแท้งได้ โดยเฉพาะในแพะและแกะ ในคนนอกจากทำให้มีโอกาสแท้งแล้วยังสามารถทำให้เกิดความผิดปรกติในระบบประสาทกับเด็กที่เกิดออกมาได้

1.วงจรชีวิตและการติดต่อ

เชื้อ Toxoplasma มีการขยายพันธุ์ 2 แบบ คือ แบบไม่อาศัยเพศ และ แบบอาศัยเพศ ซึ่งแบบอาศัยเพศจะเกิดขึ้นกับแมวซึ่งเป็นเท่านั้น แมวจะได้รับเชื้อจากการกินสัตว์ที่มีที่มี bradyzoites อยู่ในร่างกายซึ่งส่วนมากจะเป็นกลุ่มสัตว์ฟันแทะหรือติดจาก oocyst ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม เมื่อแมวซึ่งเป็น definitive host ได้รับเชื้อแล้วเชื้อจะเจริญและขยายพันธุ์ในลำไส้ของแมวโดยเชื้อจะมีการเพิ่มจำนวนและสืบพันธุ์แบบมีเพศและปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อ intermediate host ได้รับ oocyst ทางการกิน oocyst ก็จะแตกออกพัฒนากลายเป็น tachyzoites สำหรับระยะ bradyzoites นั้น จะมีลักษณะรวมเป็น cyst อยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆ ร่างกายโดยจะไม่มีการสร้าง oocyst เกิดขึ้น โดยคนสามารถติดเชื้อได้โดยทางการรับประทานเนื้อสัตว์ที่เป็นโรคนี้แบบดิบๆ สุกๆ (ระยะ cyst) หรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน oocyst จากอุจจาระของสัตว์ หรือทานน้ำนมที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ นอกจากนี้ยังติดต่อผ่านทางเลือดจากการติดเชื้อในห้องปฏิบัติการโดยบังเอิญ รวมทั้งติดต่อจากการปลูกถ่ายอวัยวะ แม่ที่มีเชื้อ Toxoplasma ในกระแสเลือดสามารถถ่ายผ่านรกไปสู่ทารกในครรภ์ได้
การก่อพยาธิสภาพในคน

            ในระยะเฉียบพลัน คนที่มีภูมิคุ้มกันปกติมักไม่มีอาการหรือมีเล็กน้อยจนไม่สังเกตหรืออาการไม่จำเพาะ ทำให้ไม่ได้เข้ารับการรักษาโรงพยาบาล เช่น อาการคล้ายเป็นไข้หวัด เจ็บคอ มีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ ต้นคอ แถวมุมกราม หลังใบหู เป็นต้น ซึ่งอาการอาจจะบรรเทาลงและหายไปเองได้ แต่จะเข้าสู่ระยะเรื้อรัง มีน้อยรายที่แทคคิซอยต์เข้าไปเจริญในอวัยวะสำคัญๆ เช่น ปอด ตับ สมอง ทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อและเสียชีวิตได้ ถ้ารอดตายก็จะเข้าสู่ระยะเรื้อรังและมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต ต่อเมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อก็จะถูกกระตุ้นให้เจิญเติบโตและแบ่งตัวและก่อโรคอีกครั้ง
            ในระยะเรื้อรัง เชื้อในสมองและกล้ามเนื้อยู่ในรูปซิสต์เนื้อเยื่อ มีผนังหุ้มสามารถหลบจากภูมิคุ้มกันได้ ผู้ติดเชื้อจึงไม่แสดงอาการป่วยแต่อย่างใดและมีชีวิตปกติ แต่ถ้าเชื้อที่เข้าลูกตาอาจทำให้เกิดรอยโรคที่จอตาและเยื่อโครอยด์อักเสบตามมาใน 1 ปี ถึง 3.5 ปี

สำหรับผู้ติดเชื้อเอช ไอ วี  (HIV) และภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเหตุอื่น เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะและได้ยากดภูมิคุ้มกัน ซิสต์ในสมองจะแตกและเชื้อจะถูกกระตุ้นให้กลายเป็นระยะแทคคิซอยต์ แพร่กระจายไปในสมองและทั่วร่างกาย  แต่ส่วนใหญ่เชื้อชอบไปที่สมอง ทำให้เเกิดอาการ สมองอักเสบ (toxoplasmic encephalitis) และเสียชีวิตลง


ภาพจาก MRI แสดงวงรอยโรค 2 แห่ง ใน สมองผู้ป่วยเอดส์
เชื้อทอกโซพลาสมา กอนดิไอ จัดเป็นปรสิตฉวยโอกาสในผู้ป่วยเอดส์อันดับต้นๆ โดยเฉพาะเมื่อมีค่า CD 4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ผู้ป่วยเอดส์ที่ นับค่า CD 4 ต่ำกว่า 50 เซลล์/ลบ.มม. จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเกิดอาการรุนแรงมากและเสียชีวิต อาการของสมองอักเสบในผู้เอดส์ จะสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก ซึมลง อ่อนแรงแขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่ง ปวดศีรษะ ชัก และหมดสติ คลื่นไส้ การเกิดพยาธิสภาพดังกล่าวอาจเกิดจากการติดเชื้อใหม่ หรือเกิดจากแบรดดิซอยต์ในซิสต์ เนื้อเยื่อที่อยู่ในร่างกายถูกกระตุ้นให้เจริญเป็นแทคคิซอยต์ออกจากซิสต์และเข้าเซลล์แมคโครฟาเจริญเติบโตและแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว และถูกพาไปยังอวัยวะต่างๆ  ก่อให้เกิดพยาธิสภาพที่อวัยวะนั้นๆ จัดเป็นการเกิดโรคกลับซ้ำดัวยเชื้อที่มีอยู่เดิมที่อยู่ในซิสต์ (recrudescence)
ทารกในครรภ์ที่ได้รับเชื้อจากมารดา (congenital toxoplasmosis) อาการขึ้นกับว่าได้รับเชื้อช่วงใดของการตั้งครรภ์ ถ้ามารดาติดเชื้อครั้งแรกในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ (3 เดือนแรก ) มีโอกาสประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ ที่จะติดต่อสู่ทารก ทั้งนี้พบว่าทารกที่ติดเชื้อ 60 เปอร์เซ็นต์ ไม่พบอาการผิดปกติ 10 เปอร์เซ็นต์ จะแท้งหรือตายแรกคลอด  และ อีก 30 เปอร์เซ็นต์ จะมีอาการรุนแรง ถ้าเด็กรอดมักไม่แสดงอาการในตอนคลอด แต่เมื่อเติบโตขึ้นเด็กจะมีอาการของโรคปรากฏ เช่น มีไข้ ตับม้ามโตเหลือง ลือดจางซีด เกิดผื่น ต่อมน้ำเหลืองโต ปอดอักเสบ หากเป็นที่สมองก็มีอาการชัก น้ำคั่งสมอง หัวบาตรหรือหัวลีบ สมองและไขสันหลังอักเสบ เนื้อสมองมีหินปูนเกาะจับ ตาเหล่ ต้อกระจก จอตาอักเสบ ตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อน และ  อาการชักในช่วงเด็กวัยรุ่น ถ้ามารดาติดเชื้อเป็นครั้งแรกเมื่อตั้งครรภ์เกิน 6 เดือน โอกาสที่เชื้อจะผ่านรกไปยังตัวอ่อนจะมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้น แต่พยาธิสภาพและการก่อโรคในตัวอ่อน และทารกแรกเกิด จะไม่รุนแรงเท่าติดเชื้อตอนครรภ์อ่อนๆ ส่วนมารดาที่เคยติดเชื้อแล้วจะมีภูมิต้านทาน (แอนติบอดี Ig G) ป้องกันไม่ให้ตัวอ่อนในครรภ์ติดเชื้อ และมารดาที่เคยติดเชื้อและมีลูกคนแรกที่ผิดปกติ โอกาสที่ลูกคนต่อไปจะติดเชื้อและเกิดอาการโรคนั้นต่ำมาก

การติดต่อของ โรคทอกโซพลาสโมซิส 

1.    โดยการกินโอโอซิสต์ระยะติดต่อ ที่ปนเปื้อนอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือในเนื้อ ดิน และน้ำ โอโอซิสต์นี้จะมาจากสัตว์เพียงชนิดเดียว คือ สัตว์ในตระกูลแมว
2.    โดยการกินเนื้อที่มีซีสต์ซึ่งภายในมีระยะแบรดดิซอยต์อยู่ โดยซีสต์จะอยู่ภายในเนื้อสัตว์หรือเครื่องในของสัตว์ที่เป็นโฮสต์ตัวกลางที่นำมากินเช่น สเต็ก ลาบดิบ โดยไม่ได้ทำให้สุกพอที่จะฆ่าเชื้อนี้ได้
3.    โดยผ่านทางรก ในขณะที่แม่ตั้งท้อง โดยระยะแทคคิซอยต์จะผ่านจากแม่เข้าไปสู่ลูกโดยตรง โดยจะเข้าไปอยู่และทำให้เกิดซีสต์ที่สมอง ตา หรือที่อวัยวะอื่นๆ ของเด็กแรกคลอด
4.    โดยผ่านทางน้ำนม โดยระยะระยะแทคคิซอยต์ จะออกมากับน้ำนมของแม่ เมื่อลูกกินนมก็จะได้รับเชื้อเข้าไป แต่กรณีนี้จะไม่ทำอันตรายกับลูกได้มากเท่ากับการผ่านทางรก
5.    เกิดจากเชื้อที่ซ่อนอยู่ในร่างกายกลับมาเจริญเติบโตเมื่อผู้ติดเชื้อเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การวินิจฉัย
1.       จากการตรวจหาแอนติบอดีย์ต่อเชื้อ ทอกโซพลาสมา กอนดิไอ
2.       จากการตรวจโดยวิธี Sabin-Feldman dye test
3.       จากการตรวจโดยวิธีปฏิกริยาลูกโซ่โพลิเมอเรส (Polymerase chain reaction – PCR)
4.       การตรวจ MRI scan มีรอยโรคที่สมองก็ให้การวินิจฉัย
5.       การเพาะเชื้อจากน้ำไขสันหลัง การวินิจฉัยที่บอกได้แน่นอนคือการน้ำเชื้อเนื้อสมองมาตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ซึ่งพบตัวเชื้อ

การป้องกันไม่โห้ติดโรคทอกโซพลาสโมซิส
(โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ครั้งแรกที่ไม่เคยติดเชื้อและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
1.       ดื่มน้ำสะอาด
2.       ไม่ดื่มนมดิบ
3.       ไม่ควรรับประทานเนื้อดิบหรือไม่สุขที่ทำจาก แกะ หมู วัว ควรทำให้เนื้อสุกที่อุณหภูมิที่ 73-75 oC หรือจนกระทั้งไม่พบเนื้อแดงๆ เนื้อที่แช่แข็งหรือรมควันจะปลอดภัยจากเชื้อนี้
4.       ล้างผัก ผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน
5.       ล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสเนื้อดิบ
6.       ล้างเครื่องครัวที่สัมผัสกับเนื้อดิบด้วยน้ำและสบู่
7.       ในประเทศเขตอบอุ่นหรือหนาวลี้ยงแมวในบ้าน ควรทำความสะอาดถาดอุจจาระแมวด้วยน้ำร้อนเพื่อทำลายโอโอซิสต์
8.       หลังจากการ ทำสวน ควรล้างมือให้สะอาด ควรสวมถุงมือขณะทำสวน
9.       หญิงมีครรภ์และผู้ที่มีภาวะทางภูมิคุ้มกันบกพร่องควรหลีกเลี่ยงการอุ้มแมว หรือล้างถาดอุจจาระแมว
10.   คนที่เล่นกับสุนัข ควรล้างมือสะอาด เนื่องจากอาจได้รับโอโอซิสต์ จากขนของสุนัขที่ปนเปื้อนอุจจาระแมว
11.   หากเลี้ยงแมวควรมีกระบะให้แมวขับถ่ายและเปลี่ยนทุกวันและล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ ถ้าหากต้องทำเองต้องสวมถุงมือทุกครั้ง
12.   ห้ามให้อาหารเนื้อดิบๆแก่แมว ควรเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารที่ทำให้สุก
13.   หากจะซื้อแมวต้องอายุมากกว่า 1 ปีและสุขภาพแข็งแรง
14.   ห้ามแมวเข้าห้องครัว
15.   เลี้ยงแมวในบ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือปล่อยโอโอซีสต์ออกสู่สิ่งแวดล้อม
16.   ควรเลี้ยงแมวให้ห่างจากบริเวณที่เลี้ยงปศุสัตว์
17.   ไม่ให้แมวของบ้านอื่นเข้ามาในอาณาเขตของบ้านเรา

การป้องกันการติดเชื้อในผู้ป่วยเอดส์ จะให้ยาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเมื่อ
·         ถ้าเซลล์ CD4 น้อยกว่า100 เซลล์/ลบ.มม. ควรได้รับยาป้องกัน
·         ยาที่ป้องกันการติดเชื้อคือ Trimethoprim- Sulfadiazine
·         หรือ Dapsone: 100mg สัปดาห์ละสองครั้งร่วมกับ pyrimethamine
·         เมื่อผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสเอดส์และมีเซลล์ CD4 มากกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. เป็นเวลามากกว่า 3 เดือน
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIVและเป็นโรคทอกโซพลาสโมซิสแล้ว ควรได้ยาป้องกันตลอดชีวิต ยาที่นิยมใช้ได้ผลดีคือ pyrimethamine ร่วมกับ sulfadiazineและ leukoverin







อ้างอิง
พีรพรรณ ตันอารีย์.Toxoplasmosis. http://www.sc.mahidol.ac.th/usr/?p=178