พยาธิตัวจี๊ด (Gnathostoma
spinigerum)
โรค Gnathostomiasis (หรือเรียกว่า Yangtze edema หรือ choko-fushu ในภาษาญี่ปุ่น, หรือไทยเรียกว่า โรคพยาธิตัวจี๊ด) เกิดจากตัวอ่อนของพยาธิตัวกลม มีชื่อว่า
Gnathostoma spp. เป็นโรคที่จัดอยู่ในพวก "cutaneous
larva migrans" ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะพยาธิตัวจี๊ดชนิด Gnathostoma
spinigerum เท่านั้น
ทั้งนี้เพราะพยาธิ์ตัวจี๊ดชนิดนี้เป็นตัวก่อโรคที่สำคัญในคนบริเวณแถบเอเชียอาคเนย์
โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งจะอาศัยอยู่ในกระเพาะของสุนัข
และแมว
ลักษณะพยาธิตัวจี๊ดโดยทั่วไป
ตัวเต็มวัย (adult) ลำตัวจะกลมยาวเรียวจากหัวไปหาง
ลำตัวใส่วนหัวแยกจากส่วนลำตัวโดย มีคอคอด
หัวค่อนข้างกลม มีริมฝีปาก 1 คู่ มีขอเล็กๆ (hook or
hooklets) ล้อมรอบส่วนหัว 8 แถว ภายในมีถุง 4
ถุง (ballonets) แต่ละถุงมีช่องต่อกับลำตัวข้างหลอดอาหาร
ปลายถุงต้นลำตัวเป็นผนังหนา (cuticle) มีรอยย่นตลอดลำตัวมีหนามปกคลุม
โดยเฉพาะส่วนต้นของลำตัวจะหนาแน่นกว่า ส่วนอื่น ตัวผู้มีขนาดประมาณ 11 - 25
มิลลิเมตร กว้าง 1 - 1.5 มิลลิเมตร
ปลายหางจะแผ่กว้างออกมีขอ (spicule) 2 อัน โผล่ให้เห็นที่ช่องขับถ่าย
(Cloaca) ตัว เมียมีขนาดยาวประมาณ 25 - 54 มิลลิเมตร กว้าง 1 - 2 มิลลิเมตร
จะมีหางเรียวเล็กกว่าตัวผู้ มีช่องเปิดระบบสืบพันธุ์ (vulva) มีรูเปิดช่องคลอด (vagina) 1 ช่อง
ต่อจากช่องคลอดเป็นมดลูก (uterus) แยกเป็น 2 ท่อและมีไข่เต็มมดลูก
ภาพประกอบ 1 ตัวเต็มวัยพยาธิตัวจี๊ด
ลักษณะไข่
(egg) หัวท้ายจะมนเกือบเท่ากันมีจุกเมือก (mucoid
plug) อยู่ทีปลายข้างหนึ่ง เปลือกไข่บางสีน้ำตาล มีขนาดประมาณ 42
x 79 ไมครอน
ภาพประกอบ 2 ไข่พยาธิตัวจี๊ด
ลักษณะตัวอ่อนระยะที่หนึ่ง (first stage larva) รูปร่างจะเรียกยาวจากหัวไปท้าย ที่หัวมีหนามสั้นๆ 1 แถว
มีปลอกหุ้มรอบ ตัวขนาดประมาณ 15.8 x 265.3 ไมครอน
ภาพประกอบ 3 ระยะที่หนึ่งพยาธิตัวจี๊ด
ตัวอ่อนระยะที่สอง
(second stage larva) ตัวอ่อนระยะนี้ ไม่มีปลอกหุ้ม มีริมฝีปาก 1 คู่
ขนาดเท่ากัน บริเวณหัวมีหนาม 4 แถว มีหลอดอาหารและลำไส้
มีรอยย่นของนามที่ลำตัวชัดปลายหางมนมีขนาดประมาณ 61.6 x 372.5 ไมครอน
ภาพประกอบ 4 ระยะที่สองพยาธิตัวจี๊ด
ตัวอ่อนระยะที่สาม
(third stage larva) เป็นระยะติดต่อมีลักษณะคล้ายตัวเต็มวัย แต่ขนาดเล็กกว่า
ลักษณะหนามไม่ชัดเจน ความยาวประมาณ 4.5 - 6.31 มิลลิเมตร
ส่วนใหญ่จะขดตัวอยู่ในซีส (cyst) ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
1 - 2 มิลลิเมตร
ภาพประกอบ 5 ตัวอ่อนระยะที่สามขดตัวอยู่ในซีสต์
วงจรชีวิต (Life cycle )
ปกติตัวแก่ของพยาธิชนิดนี้อาศัยอยู่ในกระเพาะของสัตว์ที่เป็น
definite host ได้แก่สัตว์จำพวกแมว
เสือชนิดต่างๆ และสุนัข ภายหลังการผสมพันธุ์ ตัวแก่เพศเมียจะปล่อยไข่จากผนังกระเพาะออกมาปะปนกับอุจจาระ
เมื่อไข่อยู่ในน้ำระยะหนึ่ง ตัวอ่อน(larvae)ระยะแรกจะฟักออกจากไข่และเข้าสู่กุ้งไร(cyclop)เพื่อเป็นตัวอ่อนระยะที่สอง จากนั้นกุ้งไรจะถูกกินโดย ปลา กบ งู หรือนก
เป็นต้น ตัวอ่อนระยะที่สองจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่สามเข้าไปฝังอยู่(encyst)ตามกล้ามเนื้อของสัตว์เหล่านี้ สัตว์ที่ติดเชื้อตัวอ่อนระยะที่สามจะถูก definite
hostกินอีกต่อหนึ่ง
เพื่อให้ตัวอ่อนเจริญเป็นตัวแก่ต่อไปครบวงจรชีวิต คนไม่ใช่ definite host ดังนั้นในคนจึงพบเพียงตัวอ่อนระยะที่สาม (advanced third stage
larvae) แต่อย่างไรก็ตามมีรายงานพบตัวแก่ในอวัยวะคนได้ แต่ไม่บ่อยนัก
ตัวเต็มวัย อาศัยอยู่ที่ก้อนทูม (tumour) ในกระเพาะอาหารของสัตว์กินเนื้อ (carnivore) เช่นแมว สุนัข ฯลฯ ซึ่งเป็นผู้ให้อาศัยโดยแท้จริง (definitive
host) เมื่อพยาธิตัวจี๊ดผสมพันธุ์ภายในก้อนทูมตัวเมียจะออกไข่และปล่อยออกทางรูติดต่อของ
ก้อนทูมไปตามลำไส้ของสัตว์กินเนื้อออกมาพร้อม กับอุจจาระ
จากนั้นไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนระยะที่หนึ่งภายใน 7 วัน
ที่อุณหภูมิประมาณ 27 0C
ภาพประกอบ 6 ก้อนทูมที่บริเวณผนังกระเพาะของแมว
ภายใต้มีพยาธิตัวจี๊ด
พยาธิสภาพ พบว่าผิวหนังบริเวณที่ตัวอ่อนชอนไช
มีลักษณะบวมน้ำ พบจุดเลือดออกเป็นหย่อม เซลล์อักเสบประกอบด้วย eosinophils,
lymphocytes, plasma cells เป็นส่วนใหญ่ มี neutrophils บ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบเศษเนื้อตายพร้อมกับ fibrosis ในบริเวณดังกล่าว มากน้อยขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาที่ตรวจพบ
พยาธิสภาพที่พบในทางเดินอาหาร เป็นลักษณะการอักเสบแบบ granulomatous ที่บริเวณร่องทางเดินของพยาธิ พร้อมกับเซลล์อักเสบชนิด eosinophil เป็นจำนวนมากในบริเวณที่อักเสบ นอกจากนั้นยังพบการอักเสบของหลอดเลือดแดง (endarteritis)
และต่อมน้ำเหลืองของเนื้อเยื่อเพิ่มจำนวนมากขึ้น บางครั้งไม่พบพยาธิตัวจี๊ด
พยาธิแพทย์มักให้การวินิจฉัยว่าเป็น eosinophilic gastritis หรือ
eosinophilic enterocolitis เป็นต้น
ส่วนที่สมองและไขสันหลังพบจุดเลือดออกและเศษเนื้อตายพร้อมเซลล์อักเสบทั่วไปเป็นร่องทางเดินในไชสันหลังโดยเฉพาะบริเวณทางออกของรากประสาท
จากส่วนล่างของไขสันหลังขึ้นไปถึงสมอง สมองบวมและแดง
ภายในเนื้อสมองพบการตกเลือดในชั้น subarachnoid และ ventricles
พร้อมกับเนื้อสมองตายเป็นหย่อมมีเซลล์อักเสบกระจากไปทั่ว
เยื่อบุสมองหนาพร้อมเซลล์อักเสบโดยเฉพาะชนิดeosinophils รอบๆหลอดเลือดมีการบวมพร้อมพบเซลล์อักเสบชนิด
lymphocytes, plasma, และ eosinophils และพบมีการทำลายเซลล์ประสาทและปลอกหุ้มใยประสาท ส่วนมากพบตัวอ่อนหรือตัวแก่เพศผู้หรือเพศเมียในชิ้นเนื้อที่ตัดส่งพิสูจน์
โดยทั่วไปตัวอ่อนมักไม่ค่อยเคลื่อนที่ไปยังอวัยวะดังกล่าวบ่อยนัก มักอยู่ตามบริเวณใต้ผิวหนังเป็นส่วนใหญ่
การติดต่อ คนติดโรคได้โดยทานปลาดิบที่มีตัวอ่อนระยะที่สามของพยาธิตัวจี๊ด
สัตว์อื่นๆก็เช่นกันสามารถติดโรคนี้ได้ถ้าทานปลาที่มีตัวอ่อนชนิดนี้ เช่น ไก่ หมู
หรือนก เป็นต้น เมื่อคนทานเนื้อของสัตว์ดังกล่าวแบบดิบๆสุกๆก็สามารถติดโรคนี้ได้เช่นกัน
เนื่องจากคนไม่ใช่ที่อยู่ตามธรรมชาติในวงจรชีวิตของพยาธิชนิดนี้
ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในร่างกายคนได้
จึงเดินเพ่นพล่านไปตามเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆในร่างกายทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า
larva migrans เมื่อเดินไปตามชั้นผิวหนัง
ทำให้ผิวหนังบวม เรียกว่าบวมเคลื่อนที่ (migratory swelling) ตัวอ่อนที่เคลื่อนนี้อาจมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 12 ปี
อาการทางคลีนิค อาการจะเกิดภายใน
24 ถึง 48 ชั่วโมงหลังจากทานปลาดิบหรือเนื้อดิบของสัตว์ที่มีตัวอ่อนอยู่
ผู้ป่วยมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียร น้ำลายไหล ใบหน้าร้อน คัน เป็นลมพิษ
และมีอาการจุกเสียด แน่นหรือปวดท้อง ตรวจเลือดพบเม็ดเลือดขาวสูงโดยเฉพาะ eosinophils
สูงถึงร้อยละ 90 ขณะตัวอ่อนเคลื่อนที่ไป
จะทำให้เกิดอาการปวดท้องด้านขวาบนอย่างรุนแรง ภายใน 3 ถึง 4
อาทิตย์ ตัวอ่อนจะเข้าสู่เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
ทำให้อาการและการตรวจพบในระยะแรกหายไปหรือพบน้อยลง ผู้ป่วยเข้าสู่ระยะเรื้อรัง
ตัวอ่อนจะคลืบคลานไปตามผิวหนัง ทำให้เกิดอาการบวมใต้ผิวหนัง
ผิวหนังบริเวณนั้นจะบวมแดง คัน หรือปวดรุนแรง อาการบวมดังกล่าวเป็นอยู่ประมาณ 10
วัน และเกิดเป็นขึ้นมาอีกใน 2 ถึง 6 อาทิตย์ ในกรณีที่พบในลำไส้ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง อาจพบก้อนโตในท้อง
มีเลือดออกในทางเดินอาหารและลำไส้ หรือพบลำไส้อุดตัน
ส่วนมากพบทำให้เกิดโรคที่ลำไส้ใหญ่ส่วน cecum หรือพบที่ทวารหนัก
มีรายงานทำให้เกิดไส้ติ่งและช่องท้องอักเสบ ถ้าไปที่ปอดทำให้ปอดและเยื่อหุ้มปอดอักเสบ
กรณีไปที่ลูกตา ทำให้ตาบวมและแดง มองภาพไม่ชัด โดยมากพบตัวแก่ระยะสามใน anterior
chamber หรือพบตัวแก่ทำให้เกิดแผลที่กระจกตาดำ
เมื่อเคลื่อนไปที่ทางเดินปัสสาวะ ทำให้ปวดท่อปัสสาวะ ปัสสาวะลำบาก ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด
ส่วนมากพบตัวแก่ของพยาธิออกมากับปัสสาวะ ในกรณีเคลื่อนไปตามไขสันหลัง
ทำให้มีอาการชา แขนขาอ่อนแรง และเป็นตัวการทำให้เกิด eosinophilic
myeloencephalitis และ cavernous sinus thrombosis.ได้ นอกจากนี้มีรายงานการพบพยาธิตัวจี๊ดในปาก เช่น
พบที่เหงือกและเยื่อบุผิวในช่องปาก และลิ้น ปลายองคชาติ
และเป็นตัวการทำให้เกิดการตกเลือดในช่องคลอด
อาการและอาการแสดง
1.พยาธิไชผิวหนัง ตามลำตัวแขน ใบหน้า มีอาการบวมแดง เป็นรอยทางแดง 4-10
วันแล้วหายได้ เองและอาจบวมขึ้นมาใหม่ในบริเวณใกล้เคียง
2.พยาธิไชเข้าอวัยวะต่างๆ ตา ปอด กระเพาะปัสสาวะ สมอง(อาเจียน ปวดศีรษะ คอแข็ง ปวด เส้นประสาท)ที่ตา ทำให้หนังตาบวมปิด ไชเข้าตา ตาบอดได้
2.พยาธิไชเข้าอวัยวะต่างๆ ตา ปอด กระเพาะปัสสาวะ สมอง(อาเจียน ปวดศีรษะ คอแข็ง ปวด เส้นประสาท)ที่ตา ทำให้หนังตาบวมปิด ไชเข้าตา ตาบอดได้
3.เป็นก้อนคล้ายเนื้องอกตามอวัยวะต่างๆ อาการมักไม่หายขาด
เป็นๆหายๆ เนื่องจากตัวอ่อนมีอายุยาวและไชไปมา
การวินิจฉัย
1.
ซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับการทานอาหารสุกๆ ดิบๆ อาการของโรค
2.
เจาะเลือดพบ eosinophil สูง
3. ทดสอบทาง Immunology
CBC: Eo สูง
ELISA: ต่อตัวอ่อนระยะ 3
CBC: Eo สูง
ELISA: ต่อตัวอ่อนระยะ 3
การรักษา
ยังไม่มียาที่ได้ผลดี แต่มียาที่ใช้แทนได้ ได้แก่ Albendazole 400 mg OD * 21 วัน ทำให้พยาธิออกมากจากผู้ป่วยได้ หรือ Thiabendazole50mg/kg/day แบ่ง bid *5 วัน
การป้องกัน
1. ดื่มน้ำสะอาด ไม่มีไรกุ้งปน อาหารให้กินแบบปรุงสุกทุกอย่าง
ยังไม่มียาที่ได้ผลดี แต่มียาที่ใช้แทนได้ ได้แก่ Albendazole 400 mg OD * 21 วัน ทำให้พยาธิออกมากจากผู้ป่วยได้ หรือ Thiabendazole50mg/kg/day แบ่ง bid *5 วัน
การป้องกัน
1. ดื่มน้ำสะอาด ไม่มีไรกุ้งปน อาหารให้กินแบบปรุงสุกทุกอย่าง
2.ให้สุขศึกษา
3.
ระวังไม่ให้สุนัขและแมวรับประทานเนื้อดิบ
อ้างอิง
โดย ผกายดาว สุธาพรพิทักษ์
บทความจากสสวท.https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet4/gnat/index.html.
สรรเพชญ เบญจวงศ์กุลชัย.พยาธิวิทยาโรคติดเชื้อปาราสิต.
http://cai.md.chula.ac.th/chulapatho/chulapatho/lecturenote/infection/parasite/indexpara.html#taeniasis